คอลลาเจนคืออะไร

ขณะที่เรายังอยู่ในวัยเรียนอายุยังไม่มาก คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนพบมากในร่างกายของสัตว์และมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงกระดูก, ข้อต่อ, ผิวหนัง และโครงสร้างอื่น เป็นส่วนสำคัญช่วยให้ผิวยืดหยุ่นเรียบเนียนมีความชุ่มชื้น เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนเกิดขึ้น เช่น ตามลำดับของสภาพอายุ, ผิวอาจเริ่มแพ้ง่ายขึ้น ฉะนั้นคอลลาเจนได้รับความสนใจมากในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหนังแลยังมีประโยชน์รักษาสุขภาพของเส้นผมและขนอื่นๆด้วย

แต่สารสำคัญนี้มักจะลดลงเมื่อเราเข้าสู่วัยทองบริโภค คอลลาเจน ในอาหารหรือการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาจช่วยเสริมเติม ฟื้นฟูระดับคอลลาเจนได้จะดีมาก นอกจากนี้การผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบของเจลลาตินหรือแคปซูล สามารถรับประทานเสริมเข้าไปในร่างกายได้ ควรพิจารณาพร้อมกับทานอาหารโปรตีนครบถ้วนและสมดุลอื่นๆ ในอาหารทั่วไป เพื่อให้ได้รับโปรตีนสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา

ประโยชน์ของ Collagen สำคัญต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

•สุขภาพของผิว : ผิวกระชับลดริ้วรอยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว โดยกระตุ้นสร้างเซลล์ผิวใหม่บำรุงเนื้อเยื่อผิวให้แข็งแรง

•เส้นผมและเล็บ : คอลลาเจนทำให้เส้นผมและเล็บแข็งแรงลดปัญหาเส้นผมซีดหลุดขาดหรือแตกหักง่าย

•กระดูกข้อต่อ : Collagen ช่วยรักษากระดูกข้อต่อ เสริมความแข็งแรงกับโครงสร้างข้อต่อช่วยลดอาการอักเสบ

•ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ :  จำเป็นต้องเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ช่วยสร้างกล้ามเนื้อใหม่และฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ

•สุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด : คอลลาเจน มีบทบาทในสนับสนุนการทำงานของหัวใจระบบหลอดเลือด โดยเฉพาะขั้นตอนรักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด

•เยื่อหุ้มข้อและเส้นประสาท : เสริมสร้างเยื่อหุ้มข้อและเส้นประสาท เพื่อสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม

•เนื้อเยื่อรอบเอว : ลดการสะสมของไขมันในเนื้อเยื่อที่อยู่รอบเอว ช่วยลดความอ้วนลดอาการเสี่ยงต่อโรค

บริโภคCollagenผ่านอาหารหรืออาหารเสริมอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายในด้านเหล่านี้ แต่ควรระมัดระวังเลือกสูตรและปริมาณเหมาะสมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

หาคอลลาเจนได้จากที่ไหนบ้าง

คอลลาเจนเป็นโปรตีนมีประโยชน์ต่อผิวและข้อต่อของร่างกาย คุณสามารถหาได้ Collagen จากหลายแหล่งอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ , ซูปกระดูกสัตว์ หรือคอลลาเจนเสริมในรูปแบบของเจลหรือเม็ดอาหารเสริม สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาห้างสรรพสินค้าออนไลน์ ผลิตภัณฑ์สำหรับทาผิวหน้าหรือผิวกายมีส่วนผสมของคอลลาเจนในรูปแบบแคปซูลหรือเม็ด

เลือกซื้อ Collagen ควรพิจารณาแหล่งซื้อขาย คำแนะนำใช้งานจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับคุณ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้งานเป็นสิ่งสำคัญควรทำมาก ควรระมัดระวังเรื่องความถูกต้องของข้อมูลและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เมื่อเลือกซื้อคอลลาเจนเสริมจากตลาด อาจนำคำปรึกษากับเภสัชกรหรือเพิ่มอาหารที่มีคอลลาเจนเข้าไปในเมนูประจำวันเพื่อได้ประโยชน์ที่สุดสำหรับร่างกายของคุณด้วย

วิธีเลือกซื้อคอลลาเจนง่ายๆอย่างถูกต้อง

นี่คือขั้นตอนเพื่อเลือก อาหารเสริม คอลลาเจนได้อย่างเหมาะสมนั้นสำคัญ : Collagen มีบทบาทสร้างโครงกระดูกเส้นใยรองรับผิวหนังและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ดังนั้นเลือกคอลลาเจนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ปลอดภัยกับตัวคุณเอง

คุณภาพของผลิตภัณฑ์ : เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ชื่อเสียงความน่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพปลอดภัยต่อการบริโภค ควรเลือกผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ อาจต้องพิจารณาจากอายุสภาพร่างกาย หากคุณมีโรคเรื้อรังหรือกำลังรักษาควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มรับประทาน เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อการรักษานั้น

สารอาหารเสริมเพิ่มเติม : Collagen เสริมมีส่วนผสมเพิ่มเติม เช่น วิตามินซี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน ควรพิจารณางบประมาณสำหรับอาหารเสริมคอลลาเจน โดยไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกเกินไปหรือแพงเกินไป แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับคุณภาพ

จำเป็นต้องอ่านป้ายกำกับ : ควรอ่านป้ายกำกับผลิตภัณฑ์อย่างรอบคอบเพื่อทราบส่วนประกอบที่ถูกต้อง ตรวจสอบว่าไม่มีสารผสมไม่เหมาะสมต่อร่างกาย อ่านรีวิวจากผู้มีประสบการณ์ใช้งานจริงจะช่วยคุณตัดสินใจได้ดีขึ้น

ระยะเวลาใช้งาน : ควรทราบระยะเวลาของคุณจะใช้ผลิตภัณฑ์เมื่อไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามต้องการอาจต้องปฏิบัติตามคำแนะนำใช้งานอย่างเคร่งครัด

ควรเลือก Collagen ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์มากสุดจากการบริโภค สามารถรักษาสุขภาพผิวพรรณและร่างกายได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว อย่าลืมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเองเพื่อดูผลของมันกับร่างกายของคุณด้วย หากมีอาการไม่พึงประสงค์ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทันที อาหารเสริมควรพิจารณาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ปริมาณคอลลาเจนที่สุขภาพต้องการสารอาหารเพิ่มเติม บวกกับต้องหาความรู้เรื่องราคารีวิวคำแนะนำป้ายกำกับและระยะเวลาใช้งานอย่างถูก

อิมมูน

“อิมมูน” (Immunization) คืออะไร

เป็นกระบวนการใช้เพื่อป้องกันโรค อิมมูน โดยให้วัคซีนฉีดเข้าสู่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคที่เข้ามา ซึ่งจะช่วยเราต่อสู้กับเชื้อนั้นได้ดีขึ้นหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรค วัคซีนมีบทบาทสำคัญควบคุมโรคระบาดและเป็นเครื่องมือป้องกันถ้ารับอิมมูนเพียงพอสามารถป้องกันโรคได้โดยมีสองวิธีหลักคือ

ป้องกันการติดเชื้อ (Preventive Immunization) : รับวัคซีนเพื่อป้องกันติดเชื้อโดยสร้างภูมิต้านเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในอนาคต ภูมิต้านทานจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคเกิดขึ้นหรือลดความรุนแรงของโรคลง

เพื่อป้องกันโรคกระจายตัว (Herd Immunity) : ให้วัคซีนแก่กลุ่มกว้างขึ้น เมื่อจำนวนคนมีภูมิต้านทานต่อโรคมากพอจะป้องกันแพร่ระบาดของเชื้อโรคในชุมชน เมื่อจำนวนคนมีภูมิต้านทานเพียงพอ โอกาสแพร่ระบาดของโรคจะลดลง ซึ่งจะช่วยปกป้องผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีน เช่น เด็กยังไม่สามารถรับวัคซีนเพราะอายุเกินน้อยหรือภาวะทางการแพทย์

บทบาทสำคัญของอิมมูนต่อการควบคุมระบาดของโรคได้มาก แต่ก็เข้าใจว่าบางโรคที่อิมมูนไม่สามารถป้องกันได้ในบางกรณี หรืออาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นดังนั้นปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจ

อิมมูน

ประโยชน์ของอิมมูน (Immune System)

อิมมูนเป็นระบบป้องกันสำคัญช่วยต่อต้านโรค สามารถช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคต่างกันได้ ป้องกันไม่ให้เชื้อซึมเข้ามาในร่างกายโดยการสร้างเส้นใยต่างๆ เพื่อป้องกันเส้นทางเข้าถึงของเชื้อโรค ระบบอิมมูนสามารถตระหนักและทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ โดยใช้เซลล์โปรตีนเรียกว่า “ภูมิป้องกัน” (Antibodies) เพื่อช่วยทำลายเซลล์ที่มีปัญหา อิมมูนสามารถระบุทำลายเซลล์ตัวปัญหา เป็นตัวกลางในกระบวนการรักษาฟื้นฟูภายในร่างกายส่งเซลล์โปรตีนเพื่อช่วยตัวเราหายได้รวดเร็วขึ้น

ทั้งนี้ยังควบคุมการปรับเปลี่ยนของร่างกาย เช่น ขั้นตอนตอบสนองผิดปกติของระบบทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ ป้องกันการโจมตีเซลล์อวัยวะของตัวเอง เสริมระบบอิมมูนช่วยเพิ่มความสามารถต่อต้านโรค ทำให้คุณทนทานต่อเชื้อโรคมากขึ้น ต้องการดูแลรักษาระบบอย่างดี รับประทานสารอาหารที่สมบูรณ์เพิ่มพลังงานออกกำลังกาย รักษาความสะอาดส่วนบุคคลลดอาการเครียดนอนหลับให้เพียงพอ สามารถช่วยเสริมสร้างระบบอิมมูน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมีสุขภาพแข็งแรงอย่างเป็นระบบได้อย่างเหมาะสม

หาอิมมูนอย่างไรถึงจะดีที่สุด

อิมมูน (Immune) ไม่ใช่อาหารที่เราสามารถทานได้เหมือนวิตามินหรือแร่ธาตุ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันทำให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เราสามารถดำเนินพฤติกรรมส่งเสริมขั้นตอนทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดังนี้

1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกายเป็นประจำ : รับประทานสารอาหารจำเป็นสำหรับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผลไม้ผักสีสันสด ๆ, โปรตีนคุณภาพดี, ไขมันดีไม่อิ่มตัว บวกกับออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะกิจกรรมกีฬาต้องใช้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

2. รักษาสุขภาพร่างกายสุขภาพจิต : รักษาสุขภาพทั่วไปและดูแลด้วยวิธีที่ถูกต้องสามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เสริมด้วยพยายามลดความเครียดดูแลสุขภาพจิตมีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างสำคัญ เช่น ฝึกสมาธิ, เล่นทำโยคะ ฯลฯ

3. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คุณอ่อนแอต่อโรค เช่น ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติด, ลดหรือเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก, ลดเครื่องดื่มน้ำตาลสูง รักษาสุขอนามัยโดยทำความสะอาดมืออย่างสม่ำเสมอ

4. พักผ่อนให้เพียงพอ : นอนพักเพียงพอช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและซ่อมแซ่มร่างกายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรปรับปรุงขั้นตอนนอนหลับมากกว่าวันละ 6 ชั่วโมง

5. รับประทานวิตามินแร่ธาตุต่างๆ : บางครั้งจำเป็นต้องรับประทานวิตามินแร่ธาตุที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ ยกตัวอย่าง วิตามินซีและวิตามินเอหรือวิตามินรวมอื่นๆ

อิมมูน

แนะนำวิธีเลือกอิมมูนด้วยตัวเอง

เลือกเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันนั้นสำคัญเพื่อสุขภาพของร่างกาย ดังนั้นควรพิจารณาอย่างระมัดระวังตามขั้นตอนต่อไปนี้

ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโภชนากร เพื่อได้คำแนะนำอย่างเหมาะสมตามสุขภาพร่างกายและความต้องการส่วนบุคคล ตรวจสอบส่วนประกอบในอาหารเสริม เช่น วิตามิน C, วิตามิน D, สารต้านอนุมูลอิสระ พิจารณาว่าคุณต้องการเสริมวิตามินเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มสนับสนุนสุขภาพเวลาป่วยหรือไม่ รับประทานอาหารเสริมที่ทดสอบเพื่อความปลอดภัย พิจารณาสารอาหารอยู่ในธรรมชาติมีสารต้านอนุมูลอิสระพบในผลไม้และผัก บวกกับออกกำลังกายเลือกรับประทานสารอาหารสมดุลสูง เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น

ติดตามความก้าวหน้า : หลังจากเริ่มต้นรับประทานอาหารเสริม ควรติดตามประสิทธิภาพของอาหารเสริม คำนึงถึงความเหมาะสมต่อร่างกายของแต่ละบุคคล ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นจะช่วยให้คุณเลือกอาหารเสริมที่ปลอดภัยสำหรับคุณได้ แต่ไม่ควรใช้แทนคำปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ